![]() |
สรุปสถานการณ์ราคายางพาราในไตรมาสที่ 2/2561 และแนวโน้มไตรมาส 3/2561
จากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปี 2561 ยังคงขยายตัว พร้อมกับอัตราเงินเฟ้อที่เริ่ม ปรับตัวสูงขึ้น และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ยังคงคาดการณ์เศรษฐกิจโลก ในปีนี้ และปีหน้าจะมีการขยายตัวอยู่ที่ระดับ 3.9% โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง จากการประเมินในไตรมาสแรก สำหรับ GDP ของประเทศไทยในไตรมาส 1/2561 อยู่ที่ 4.8 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ระดับ 4.0 และประเทศคู่ค้าที่สำคัญ ได้แก่ สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น และอินเดีย ไตรมาสที่ 1/2561 อยู่ที่ 2.2, 6.8, -0.6 และ 7.6 อีกทั้งสถานการณ์ยางโลก ในไตรมาสที่1/2561 มีการบริโภคยาง 3,343 พันตัน ซึ่งปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 6.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (fourleafclover) สถานการณ์ยางพาราไตรมาสที่ 1/2561 สถานการณ์ราคายางไตรมาสที่ 2/2561 ในภาพรวมราคายางปรับตัวสูงขึ้น โดยราคายางแผ่นดิบ เฉลี่ย ณ ตลาดกลางยางพาราอยู่ที่ 47.36 บาท/กก. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.19 บาท/กก. คิดเป็นร้อยละ 4.85 ในขณะที่ - ราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 อยู่ที่ 50.11 บาท/กก. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.25 บาท/กก. คิดเป็นร้อยละ 4.70 - ราคายางพาราท้องถิ่น อยู่ที่ 45.21 บาท/กก. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.57 บาท/กก.คิดเป็นร้อยละ 3.60 - ราคาน้ำยางสดอยู่ที่ 46.73 บาท/กก. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.94 บาท/กก. คิดเป็นร้อยละ 4.34 - ราคาเศษยางอยู่ที่ 36.81 บาท/กก. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.12 บาท/กก. คิดเป็นร้อยละ 0.33 ซึ่งได้รับแรงหนุนจากความต้องการของผู้ประกอบภายในประเทศ และปริมาณยาง |
|
ที่ออกสู่ตลาดน้อย เนื่องจากอยู่ในช่วงปิดกรีด ขณะที่ราคายางในตลาดล่วงหน้าต่างประเทศ มีดังนี้ 1) ตลาดล่วงหน้าสิงคโปร์ ราคาซื้อขายยางพาราไตรมาส 2/2561 ราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 (RSS3) อยู่ที่ 166.54 เซนต์สหรัฐฯ/กก. ปรับตัวลดลง 4.84 เซนต์สหรัฐฯ/กก. คิดเป็นร้อยละ 2.83 หากคิดเป็นเงินบาทจะอยู่ที่ 52.90 บาท/กก. ปรับตัวลดลง 1.16 บาท/กก. คิดเป็นร้อยละ 2.14 และราคายางแท่ง STR20 140.80 เซนต์สหรัฐฯ/กก. ปรับตัวลดลง 5.91 เซนต์สหรัฐฯ/กก. คิดเป็นร้อยละ 4.03 หากคิดเป็นเงินบาท อยู่ที่ 44.74 บาท/กก. ปรับตัวลดลง 1.54 บาท/กก. คิดเป็นร้อยละ 3.34 2) ตลาดล่วงหน้าโตเกียว ราคาซื้อขายยางพาราไตรมาส 2/2561 ราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 (RSS3) อยู่ที่ 175.78 เยน/กก. ปรับตัวลดลง 11.40 เยน/กก. คิดเป็นร้อยละ 6.09 หากคิดเป็นเงินบาทจะอยู่ที่ 51.22 บาท/กก. ปรับตัวลดลง 3.28 บาท/กก. คิดเป็นร้อยละ 6.02 3) ตลาดล่วงหน้าเซี่ยงไฮ้ ราคาซื้อขายยางพาราไตรมาส 2/2561 ราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 (RSS3) อยู่ที่ 11,167.75 หยวน/กก. ปรับตัวลดลง 1601.55 หยวน/กก. คิดเป็นร้อยละ 12.54 หากคิดเป็นเงินบาทจะอยู่ที่ 55.86 บาท/กก. ปรับตัวลดลง 7.55 บาท/กก. คิดเป็นร้อยละ 11.91 (fourleafclover)ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อราคายางในไตรมาสที่ 2 ของปี 2561 ประกอบด้วย 1. เศรษฐกิจโลกโดยรวมยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และยังคงมีการขยายตัวทางด้านการค้าการส่งออก และตลาดแรงงาน อีกทั้งดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (Purchasing Manager Index: PMI) ภาคการผลิตและภาคบริการของสหรัฐฯ จีน และญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าหลักในการส่งออกยาง ยังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่ายังคงมีการขยายตัว 2. ราคาน้ำมันดิบในช่วงไตรมาส 2/2561 ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงติดต่อกันหลายสัปดาห์ และสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง รวมทั้งสหรัฐฯ ประกาศถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ลงนามในปี 2558 ระหว่างอิหร่าน และกลุ่มประเทศ P5*+1 ได้แก่ จีน รัสเซีย อังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐ และเยอรมนี 3. ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในทิศทางเดียวกับตลาดเงินในภูมิภาค เนื่องจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และทิศทางการไหลออกของเงินทุนต่างประเทศชะลอตัวลง อีกทั้งนักลงทุนค่อนข้างระมัดระวังการลงทุนจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน 4. ผลผลิตยางปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อน เนื่องจากเป็นช่วงฤดูปิดกรีด (เดือนเมษายน) และมีฝนตกชุก ในช่วงเปิดกรีดทั้งในพื้นที่ภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่งผลให้ปริมาณยางค่อนข้างออกสู่ตลาดน้อย 5. การดำเนินโครงการของภาครัฐเพื่อแก้ปัญหาราคายางทั้งระบบ ที่ยังคงดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย โครงการชดเชยดอกเบี้ย 3% เพื่อสนับสนุนสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกร เพื่อรวบรวมยางพารา (วงเงิน 10,000 บาท) โครงการชดเชยเพื่อสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง วงเงิน 15,000 บาท โครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐ โครงการสนับสนุนสินเชื่อเกษตรกร ชาวสวนยางรายย่อย เพื่อประกอบอาชีพเสริม และโครงการควบคุมปริมาณผลผลิต ซึ่งมีเป้าหมายในการลดผลิต จากทั้งภาคเกษตรกร และหน่วยงานรัฐ โดยบางโครงการสิ้นสุดโครงการในไตรมาสนี้ ตรงตามเป้าหมาย ส่วนบางโครงการ ยังดำเนินการต่อกว่าร้อยละ 50 ของโครงการ หมายเหตุ *: (The permanent members of the United Nations Security Council: P5)
(fourleafclover)สถานการณ์ราคายางพาราในไตรมาสที่ 3 ของปี 2561 จากราคายางในไตรมาสที่ 2 ปี 2561 ที่ปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาสที่ 1 ปี 2561 แต่สำหรับแนวโน้ม ราคายางพาราในไตรมาสที่ 3 ปี 2561 คาดว่าราคายางเฉลี่ยอาจปรับตัวอยู่ในกรอบที่จำกัด และมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น จากไตรมาสก่อน เนื่องจาก 1 .ดัชนี PMI ของประเทศสหรัฐอเมริกา จีนและญี่ปุ่นยังคงขยายตัว แม้ PMI ของประเทศในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2561 จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง แต่ยังคงสูงกว่าระดับ 50 จึงเป็นสัญญาณชี้นำว่าเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้ายังคงขยายตัว 2. ปริมาณสต็อกยางมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น โดยสต็อกยางชิงเต่า ณ ต้นเดือนมิถุนายน 2561 จำนวน 182.200 พันตัน ลดลงจากเดือนมีนาคม 2561 จำนวน 62.200 พันตัน คิดเป็นร้อยละ 25.45 ในขณะที่สต็อกเซี่ยงไฮ้ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2561 มีจำนวน 498.638 เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคม ที่ระดับ 55.868 พันตัน คิดเป็นร้อยละ 12.62 3. ปริมาณยางเข้าสู่ตลาดมากขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงฤดูกรีดยาง แต่จะมีฝนตกชุกในพื้นที่ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยกรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศในช่วงระยะครึ่งหลังของเดือนกรกฎาคม และเดือนสิงหาคมจะมีฝนตกชุกมากขึ้น ส่งผลให้ผลผลิตออกสู่ตลาดไม่มากนัก 4. ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลจากผลการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และประเทศนอกกลุ่มโอเปก ปรับเพิ่มกำลังการผลิต 1 ล้านบาร์เรล/วัน โดยเริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2561 แต่นักวิเคราะห์คาดว่าสมาชิกโอเปกบางประเทศจะไม่สามารถเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน เนื่องจากปัญหา ติดขัดจากปัจจัยภายในประเทศทำให้การเพิ่มการผลิตน้ำมันที่แท้จริงอาจจะอยู่ที่ระดับ 600,000 – 800,000 บาร์เรล/วัน และสหรัฐฯ ประกาศห้ามนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่าน 5. นักลงทุนอาจจะระมัดระวังการซื้อขายในตลาดล่วงหน้า เนื่องจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ดังนี้ 5.1 ข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และนานาชาติหลังจากประกาศใช้มาตรการ Safeguard (การปรับขึ้นภาษีนำเข้ากับทุกประเทศที่ส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯ) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก และภาคการส่งออกของไทย 5.2 จากผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงอัตราดอกเบี้ย และได้การประกาศแผนการยุติการทา มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ภายในสิ้นเดือนธันวาคม อาจส่งผลให้สภาพคล่องลดลง และกระแสเงินทุนก็จะไหลออกจากภูมิภาคเอเชียอย่างต่อเนื่อง 5.3 ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 1.75 - 2.00% และยังส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ อาจจะส่งผลให้มีการเคลื่อนย้ายการลงทุน และส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่มา : กองวิจัยเศรษฐกิจยาง ฝ่ายวิจัยและพัฒนาเศรษฐกิจยาง การยางแห่งประเทศไทย
|
ช่องทางการติดต่อ Tel. : 098-014 3881, 098-010 4288, เเละ 089-466 2610 Line : เอพีเครับซื้อไม้ยาง (คลิก) Facebook : เอพีเครับซื้อไม้ยาง (คลิก) Website : www.apkgroup.co.th (คลิก) |